กรณีศึกษา หนี้ท่วมประเทศ ของมัลดีฟส์ /โดย ลงทุนแมน
ด้วยพื้นที่กว่า 80% มีความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่ถึง 1 เมตร
ประเทศหมู่เกาะกลางมหาสมุทรอินเดียอย่างมัลดีฟส์ จึงมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และถูกน้ำท่วมภายในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม น้ำท่วมเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
แต่สิ่งที่กำลังท่วมมัลดีฟส์อยู่ในขณะนี้ ก็คือ “หนี้สาธารณะ”
ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี
ปี 2019 มัลดีฟส์มีหนี้สาธารณะอยู่ที่ 78.1% ของ GDP
ปี 2020 มัลดีฟส์มีหนี้สาธารณะอยู่ที่ 142.6% ของ GDP
คิดเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว ภายในปีเดียว..
เกิดอะไรขึ้นกับประเทศมัลดีฟส์ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
คนทั่วโลกรู้จักมัลดีฟส์ ในภาพของหมู่เกาะสวยงาม ที่แวดล้อมไปด้วยทะเลสวย น้ำใส และเป็นแหล่งดำน้ำยอดนิยมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยือนกว่า 1.7 ล้านคน ในปี 2019
ซึ่งคิดเป็น 3 เท่าของประชากรชาวมัลดีฟส์ ที่มีอยู่ 541,000 คน
การหลั่งไหลมาของนักท่องเที่ยว
ผลักดันให้ GDP ของมัลดีฟส์ในปี 2019 อยู่ที่ 175,000 ล้านบาท
เมื่อหารด้วยจำนวนประชากร ชาวมัลดีฟส์จะมี GDP ต่อหัว 323,475 บาทต่อปี
ทำให้เป็นประเทศที่มี GDP ต่อหัวสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียใต้
ภาคการท่องเที่ยวเป็นพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศนี้มาตั้งแต่ทศวรรษ 1970s เมื่อมัลดีฟส์ได้พัฒนาระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก และวางแผนจัดสอนภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา เพื่อรองรับการท่องเที่ยวอย่างจริงจัง
ปัจจุบัน ภาคการท่องเที่ยวมีสัดส่วนทั้งทางตรงและทางอ้อมกว่า 60% ของ GDP
แต่เมื่อเกิดวิกฤติการระบาดของโควิด 19 ในปี 2020
รัฐบาลมัลดีฟส์ได้ทำการปิดพรมแดน หยุดการเดินทางเข้าของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ตั้งแต่เดือนมีนาคม จนถึงกลางเดือนกรกฎาคม ปี 2020
ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดทั้งปี จากปี 2019 ที่มี 1.7 ล้านคน ลดลงเหลือเพียง 555,000 คน
ภาคการท่องเที่ยวที่เป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจจึงได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ส่งผลให้ GDP ของมัลดีฟส์ในปี 2020 หดตัวถึง 28%
ด้วย GDP จากการท่องเที่ยวที่ลดลง ภาครัฐจึงต้องกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ ทั้งการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบการและพนักงานด้านการท่องเที่ยว
รวมถึงลดราคาค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ เป็นจำนวนเงินกว่า 6,000 ล้านบาท
ซึ่งรายจ่ายเกือบทั้งหมด รัฐบาลมัลดีฟส์จำเป็นต้องกู้เงินมาจากต่างประเทศ
เมื่อ GDP ลดลง แต่ภาระหนี้เพิ่มขึ้น
สัดส่วนหนี้สาธารณะของมัลดีฟส์จึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 78.1% กลายเป็น 142.6%
ผลักดันให้มัลดีฟส์กลายเป็นประเทศที่มีหนี้สาธารณะเป็นสัดส่วนสูงที่สุด อันดับ 8 ของโลก
แต่ที่น่าสนใจก็คือ
เจ้าหนี้ที่ใหญ่ที่สุดของมัลดีฟส์เป็น “ประเทศจีน”..
ที่มาของหนี้สาธารณะก้อนโตจากจีน ต้องย้อนกลับไปในปี 2014 เมื่อประธานาธิบดี Abdulla Yameen ในขณะนั้น ได้เซ็นสัญญาเข้าร่วมแผนการ Belt and Road Initiative กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง
ด้วยทำเลที่ตั้งของมัลดีฟส์ที่อยู่กลางมหาสมุทรอินเดีย จึงเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการขยายอิทธิพลทางการค้าของจีนมายังภูมิภาคเอเชียใต้ และเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคตะวันออกกลาง
การเซ็นสัญญาในครั้งนั้น ทำให้มัลดีฟส์มีโครงการก่อสร้างครั้งมโหฬาร
ที่โดดเด่นคือการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ 3 โครงการ
โครงการแรก คือ การปรับปรุงสนามบินหลักของประเทศ สนามบินนานาชาติ Velana ให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้มากขึ้น จากเดิมที่รองรับได้ราว 1 ล้านคน
มีการขยายรันเวย์ใหม่ ปรับปรุงอาคารผู้โดยสาร การปรับปรุงนี้ใช้งบประมาณ 3,700 ล้านบาท
โครงการที่ 2 สร้างอาคารที่อยู่อาศัยบนเกาะแห่งใหม่ทางตอนเหนือของสนามบิน Velana โดยการถมทะเลขยายพื้นที่ และสร้างกลุ่มอะพาร์ตเมนต์ใหม่หลายแห่ง เพื่อระบายประชากรจากกรุงมาเล เมืองหลวงที่อยู่กันอย่างแออัด โครงการนี้ใช้งบราว 2,500 ล้านบาท
โครงการที่ 3 ซึ่งใช้งบประมาณมากที่สุดกว่า 6,500 ล้านบาท
คือการสร้างสะพานความยาว 1.4 กิโลเมตร เชื่อมระหว่างเกาะสนามบิน Velana กับเกาะมาเล เมืองหลวงของมัลดีฟส์ จากเดิมที่การเดินทางระหว่างทั้ง 2 เกาะ จะต้องเดินทางโดยใช้เรือเท่านั้น ซึ่งใช้เวลามากกว่า 15 นาที สะพานใหม่แห่งนี้ย่นระยะเวลาเหลือเพียง 5 นาที
สะพานแห่งนี้ถูกตั้งชื่อว่า Sinamalé หรือ สะพานมิตรภาพจีน-มัลดีฟส์..
โครงการเหล่านี้ ถึงแม้จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการอำนวยความสะดวกให้กับภาคการท่องเที่ยว การขนส่งสินค้า ไปจนถึงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและรายได้ที่มากขึ้นของชาวมัลดีฟส์
แต่ก็แลกมากับหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ปี 2014 มัลดีฟส์มีหนี้สาธารณะอยู่ที่ 55.1% ของ GDP
ปี 2016 มัลดีฟส์มีหนี้สาธารณะอยู่ที่ 62.3% ของ GDP
ปี 2018 มัลดีฟส์มีหนี้สาธารณะอยู่ที่ 71.5% ของ GDP
การตกเป็นหนี้จีนอย่างมหาศาลของมัลดีฟส์ สร้างความไม่พอใจให้กับประเทศเพื่อนบ้านยักษ์ใหญ่ในภูมิภาคอย่าง อินเดีย
อินเดียมองว่า หากมัลดีฟส์ไม่สามารถจ่ายหนี้คืนให้กับจีนได้ จีนก็สามารถอ้างเรื่องการเป็นกรรมสิทธิ์หุ้นส่วน แล้วยึดครองพื้นที่บางส่วนของมัลดีฟส์เพื่อผลประโยชน์ทั้งทางการค้าและการทหาร
เพื่อลดบทบาทของจีนในภูมิภาคเอเชียใต้ เมื่อประธานาธิบดี Abdulla Yameen ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับจีน หมดอำนาจลงในปี 2018 แล้วเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ เป็นประธานาธิบดี Ibrahim Mohamed Solih ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอินเดียมากกว่า
อินเดียจึงพยายามขยายอิทธิพลมายังมัลดีฟส์
ด้วยการเสนอแผนการลงทุนสร้างสะพานกลางทะเลความยาวกว่า 6.7 กิโลเมตร เชื่อมระหว่างเกาะมาเล กับเกาะทางตะวันตกใกล้เคียงอีก 3 เกาะ
อภิมหาโปรเจกต์นี้ คิดเป็นมูลค่าราว 15,500 ล้านบาท
ด้วยความที่มัลดีฟส์ตั้งอยู่ไม่ไกลจากอินเดีย มีความสัมพันธ์ทั้งด้านการค้าและการลงทุน รวมถึงเป็นแหล่งนำเข้าน้ำจืด อาหาร และสินค้าอุปโภค
ท่ามกลางเศรษฐกิจที่เปราะบางจากวิกฤติโควิด 19
อินเดียก็เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือทั้งในด้านการเงินและวัคซีนที่สำคัญแก่มัลดีฟส์
เพื่อดำรงความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้านที่ใหญ่และทรงอิทธิพล
เท่ากับว่า มัลดีฟส์อาจต้องยอมรับการลงทุนมหาศาลจากอินเดียอีกครั้ง
ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของ GDP
พูดง่าย ๆ ก็คือ มัลดีฟส์ซึ่งก่อหนี้สาธารณะที่มากขึ้นจากจีนอยู่แล้ว อาจจะต้องยอมเป็นหนี้จากอินเดียเพิ่มเติมด้วย..
ซึ่งหากเศรษฐกิจของมัลดีฟส์ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น
สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ก็จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ จนอาจก่อให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศได้
นับว่าเป็นที่น่าติดตาม ว่าประเทศหมู่เกาะเล็ก ๆ ที่สวยงามแห่งนี้
จะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต ?
การต้องเผชิญความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศก็นับว่าน่ากลัวอยู่แล้ว
ภัยจากมนุษย์ที่คาดเดาไม่ได้ ก็น่ากลัวไม่แพ้ภัยจากธรรมชาติ
และมัลดีฟส์กำลังเผชิญหน้ากับทั้ง 2 ความเสี่ยงในเวลาเดียวกัน..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.worldbank.org/en/country/maldives/overview
-https://www.bbc.com/news/world-asia-52743072
-https://countryeconomy.com/national-debt/maldivas
-https://www.weforum.org/agenda/2021/05/maldives-floating-city-climate-change/
-https://www.finance.gov.mv/public/attachments/mBySnXGurslTgoO14vunTtsqLUZtwKwWa9QcFThF.pdf
-https://www.aljazeera.com/news/2020/8/14/india-funds-500m-maldives-project-to-counter-chinas-influence
-https://www.cnbc.com/2021/04/15/vaccine-tourism-maldives-to-offer-holidaymakers-vaccines-on-arrival.html
「gdp ประเทศจีน」的推薦目錄:
gdp ประเทศจีน 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
รู้จัก ลี กาชิง จากเด็กโรงงาน สู่มหาเศรษฐี 1 ล้านล้าน /โดย ลงทุนแมน
ในปัจจุบัน หากพูดถึงชื่อมหาเศรษฐีเชื้อสายจีน
หลายคนคงนึกถึง Jack Ma ผู้ปลุกปั้นอาณาจักร Alibaba
หรือ Pony Ma ผู้ปลุกปั้นอาณาจักร Tencent
แต่อีกคนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และครองตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของทวีปเอเชียมาอย่างยาวนาน คือ คุณ “ลี กาชิง” หรือ “Li Ka-shing”
เขาคนนี้ เริ่มต้นจากศูนย์ ก่อนก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าของธุรกิจหลากหลายประเภท
ไม่ว่าจะเป็น อสังหาริมทรัพย์, ท่าเรือขนส่ง, สื่อสารโทรคมนาคม, ร้านค้าปลีก หรือแม้กระทั่ง แพลตฟอร์มออนไลน์
ความสำเร็จต่างๆ ที่ผ่านมา ทำให้เขาได้รับฉายาว่า “ซูเปอร์แมน” แห่งเกาะฮ่องกง
และถูกยกย่องให้เป็นเหมือน วอร์เรน บัฟเฟตต์ แห่งเอเชีย เลยทีเดียว
เรื่องราวชีวิตของชายคนนี้ น่าสนใจอย่างไร
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
คุณ Li Ka-shing เป็นนักธุรกิจและนักลงทุน ชาวฮ่องกง
เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1928 ปัจจุบันมีอายุ 93 ปี
เขามีชีวิตวัยเด็กที่ค่อนข้างลำบาก โดยครอบครัวอาศัยอยู่ในมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน
แต่พอเกิดสงครามระหว่าง ญี่ปุ่น-จีน เขาและครอบครัวจึงต้องอพยพไปอยู่ที่เกาะฮ่องกง ในปี 1940
หลังจากย้ายมาได้ไม่นาน พ่อของเขาก็เสียชีวิตลง ทำให้คุณ Li Ka-shing จำเป็นต้องลาออกจากโรงเรียน เพื่อหางานทำเลี้ยงครอบครัว ทั้งๆ ที่มีอายุเพียง 15 ปี เท่านั้น
เขาเริ่มทำงานในโรงงานผลิตพลาสติกแห่งหนึ่ง ซึ่งต้องทำงานหนักถึง 16 ชั่วโมงต่อวัน
แต่มันก็กลายเป็นโอกาสให้เขาเรียนรู้ขั้นตอนการดำเนินงานทั้งหมดภายในโรงงาน
ซึ่งต่อมาในปี 1950 คุณ Li Ka-shing ก็ตัดสินใจก่อตั้งบริษัทโรงงานผลิตสินค้าพลาสติกเป็นของตัวเอง ชื่อว่า Cheung Kong
ตอนแรก เขาเลือกผลิตสินค้าของเล่นพลาสติก
แต่ต่อมาได้เห็นข่าวความนิยมในดอกไม้พลาสติกที่ประเทศอิตาลี
จึงเปลี่ยนมาผลิตดอกไม้พลาสติกราคาถูก ที่มีคุณภาพดีสีสันเหมือนจริงแทน
ปรากฏว่า ธุรกิจประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
ส่งผลให้ Cheung Kong กลายเป็นผู้ผลิตดอกไม้พลาสติกรายใหญ่ของเอเชีย
และทำให้คุณ Li Ka-shing มีฐานะร่ำรวยขึ้น
พอเริ่มมีเงินทุนในมือมากขึ้น เขาก็ลองมองหาโอกาสลงทุนในธุรกิจอื่นบ้าง
ในปี 1967 ได้เกิดการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลฮ่องกง
ซึ่งบานปลายไปสู่เหตุจลาจล และลอบวางระเบิด
ประชาชนจำนวนมากในฮ่องกง ยอมทิ้งบ้านเรือนและธุรกิจ ย้ายออกจากฮ่องกงเพื่อความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม คุณ Li Ka-shing มองว่านี่เป็นเพียงเหตุการณ์ชั่วคราวที่สักวันต้องจบลง จึงหาจังหวะเข้าซื้อที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งที่ราคาตกต่ำลง และนำมันไปพัฒนาโครงการต่างๆ ซึ่งสร้างมูลค่าเพิ่มได้
นอกจากนั้น ในปี 1979 บริษัท Cheung Kong ที่เขาก่อตั้งขึ้นมา ก็ได้เข้าซื้อหุ้น Hutchison Whampoa บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ประกอบธุรกิจหลากหลายในฮ่องกง เช่น ท่าเรือขนส่ง ซึ่งบริษัทครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 70%, ค่ายสัญญาณโทรศัพท์ และร้านค้าปลีกสินค้าความงาม Watsons
ซึ่งในขณะนั้นเอง เศรษฐกิจฮ่องกงก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
จากความได้เปรียบเชิงทำเลที่ตั้งและภาคการเงินที่แข็งแกร่ง
จนทำให้พวกเขาสามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในสี่เสือเศรษฐกิจแห่งเอเชีย
ปี 1971-1980 GDP ฮ่องกงโตเฉลี่ย 9.1% ต่อปี
ปี 1981-1990 GDP ฮ่องกงโตเฉลี่ย 6.8% ต่อปี
และแน่นอนว่าทุกธุรกิจที่คุณ Li-Ka shing ซื้อกิจการมา
ก็ได้รับประโยชน์ล้อไปกับการเติบโตของเศรษฐกิจฮ่องกง
ส่งผลให้เขากลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยอันดับต้นๆ ของฮ่องกงและทวีปเอเชีย นับตั้งแต่นั้นมา
มาถึงปัจจุบัน ฮ่องกงกำลังเผชิญปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหม่
จากเหตุชุมนุมประท้วงรัฐบาลที่รุนแรงและยืดเยื้อมาตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2019
ประกอบกับการระบาดของโควิด 19 ที่ทำให้ GDP ฮ่องกงในปี 2020 หดตัวถึง 6.1%
ซึ่งมีการประเมินว่า ธุรกิจในฮ่องกงของคุณ Li Ka-shing ได้รับความเสียหายไปไม่ต่ำกว่า 90,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวอาจส่งผลกระทบแค่เพียงเล็กน้อย
เพราะก่อนหน้านี้ เขาได้กระจายการลงทุนไปในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ที่เป็นเทรนด์หลักของโลกยุคใหม่
โดยเขาได้ก่อตั้งบริษัท Venture Capital ชื่อว่า Horizons Ventures ขึ้นเมื่อปี 2002 เพื่อลงทุนในสตาร์ตอัปที่เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจได้ไม่นานแต่มีศักยภาพที่น่าสนใจ
ตัวอย่างของบริษัทที่ Horizons Ventures ไปลงทุนด้วย ก็อย่างเช่น
- Facebook แพลตฟอร์มโซเชียลเน็ตเวิร์ก ในปี 2007 ที่ตอนนั้นยังมีผู้ใช้งานทั่วโลกแค่ 50 ล้านคน
- Spotify แพลตฟอร์มสตรีมมิงเพลง และพอดแคสต์ ในปี 2009 ที่ในตอนนั้นเพิ่งก่อตั้งกิจการมาแค่ 3 ปี
- Siri ระบบสั่งการอัจฉริยะ ในปี 2009 ก่อนที่จะถูก Apple ซื้อกิจการไป
แต่การลงทุนที่ประสบความสำเร็จที่สุด คงจะเป็น “Zoom” แพลตฟอร์มประชุมออนไลน์
ซึ่งกองทุนได้เข้าซื้อหุ้นบริษัท สัดส่วน 8.6% ในการระดมทุนเมื่อปี 2015
ซึ่งในปีที่ผ่านมา Zoom กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด เนื่องจากการระบาดของโควิด 19 ทำให้ผู้คนต้องติดต่อสื่อสารกันผ่านออนไลน์แทน
ผลจากการลงทุน ส่งผลให้หุ้นที่คุณ Li Ka-shing ถือครองอยู่ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นสูงถึง 330,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 3 ของมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดของตัวเขา
โดยจากการประเมินทรัพย์สินล่าสุด โดย Forbes
คุณ Li Ka-shing มีทรัพย์สินอยู่ที่ประมาณ 1,020,000 ล้านบาท
ถือเป็นบุคคลที่รวยอันดับ 2 ของฮ่องกง และอันดับ 39 ของโลก
เรื่องราวนี้นับเป็นตัวอย่างที่ดีว่า
ไม่ว่าเราจะเป็นใคร หรือมีต้นทุนชีวิตมากน้อยเท่าไร
หากตั้งใจเรียนรู้ประสบการณ์ทำงานจริง และคอยปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์
เราก็มีโอกาสประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน
เหมือนอย่างคุณ Li Ka-shing
ที่สูญเสียหัวหน้าครอบครัว เรียนไม่จบ และต้องทำงานในโรงงานตั้งแต่เด็ก
แต่เขาก็มุ่งมั่นที่จะสร้างและลงทุนในธุรกิจที่คิดว่าน่าสนใจอยู่ตลอดเวลา
จนสามารถพัฒนาจากศูนย์ มาสู่ 1 ล้านล้าน ได้ในวันนี้..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-01-28/hong-kong-faces-difficult-road-to-recovery-after-record-slump?sref=x0EQiAMH
-https://en.wikipedia.org/wiki/Li_Ka-shing
-https://www.techinasia.com/li-ka-shing-story
-https://empirics.asia/from-factory-worker-to-richest-man-in-asia-the-story-of-li-ka-shing/
-https://www.forbes.com/profile/li-ka-shing/?list=hong-kong-billionaires&sh=4b98bf3e523f
-https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-09-02/one-third-of-li-ka-shing-s-wealth-is-an-11-billion-zoom-stake
-https://en.wikipedia.org/wiki/Hutchison_Whampoa
-https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.MKTP.KD.ZG?locations=HK
gdp ประเทศจีน 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
ประเทศจีน กำลังจะมีขนาดเศรษฐกิจ ที่ใหญ่สุดในโลก /โดย ลงทุนแมน
“ปี 2028 ขนาดเศรษฐกิจของจีน จะใหญ่แซงหน้าสหรัฐอเมริกาขึ้นมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก” นี่คือประโยคคาดการณ์ ของนักเศรษฐศาสตร์หลายคนต่อเศรษฐกิจจีนในตอนนี้
คำถามต่อมาที่น่าสนใจคือ
จีนจะเป็นประเทศที่ “รวยก่อนแก่” ได้หรือไม่?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
เพียงเปิดบัญชี Zipmex ผ่าน Radars Point วันนี้
รับฟรี 68 Point จาก Radars Point
╚═══════════╝
ย้อนกลับไปก่อนปี 1978 จีนนับเป็นหนึ่งในประเทศยากจน ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในชนบทและมีรายได้ต่ำมาก
โดยรายได้เฉลี่ยต่อหัวของชาวจีนในช่วงระหว่างปี 1960-1971 อยู่ที่ปีละ 3,400 บาทต่อคนเท่านั้น
ความยากจนถึงขนาดทำให้ชาวจีนล้มตายจากความอดอยาก เป็นจำนวนกว่า 30 ล้านคนเลยทีเดียว
จนกระทั่งมาถึงปี 1978 ภายใต้การนำของ เติ้ง เสี่ยวผิง จีนเริ่มมีการปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่
โดยอาศัยการเรียนรู้จากความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอื่นในเอเชีย
เช่น เกาหลีใต้, ไต้หวัน, สิงคโปร์ และฮ่องกง
ภาครัฐของจีนเริ่มมีการสนับสนุนนโยบายต่างๆ เช่น
- เปิดประเทศเพื่อรับการลงทุนจากต่างชาติ
- อนุญาตให้ผู้ประกอบการสามารถเริ่มต้นและเป็นเจ้าของธุรกิจ
- ยกเลิกมาตรการควบคุมราคาสินค้า และออกนโยบายปกป้องธุรกิจ
- ผ่อนปรนกฎระเบียบหลายอย่าง เพื่อให้เอื้อต่อการลงทุนภายในประเทศจีน
ผลของการปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศในครั้งนั้น ทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ปี 1978 มูลค่า GDP ของจีน เท่ากับ 4.5 ล้านล้านบาท
ปี 2019 มูลค่า GDP ของจีน เท่ากับ 446 ล้านล้านบาท
มูลค่า GDP ของประเทศเติบโตเกือบ 100 เท่า ในระยะเวลา 41 ปี
ขณะที่ในระหว่างปี 2000-2019 อัตราการเติบโต GDP ของจีน เติบโตเฉลี่ยปีละกว่า 9% และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
วันนี้ขนาดเศรษฐกิจของจีนใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก แซงหน้าญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2010
โดยจีนมีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) กว่า 446 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 18% ของ GDP ทั้งโลก และเป็นรองเพียงแค่สหรัฐอเมริกาเพียงชาติเดียว
รายได้เฉลี่ยต่อหัวของชาวจีนในปัจจุบันเท่ากับ 308,000 บาทต่อปี
เพิ่มขึ้นกว่า 65 เท่า จากปี 1978 ที่เคยอยู่ที่ 4,700 บาทต่อปี
ที่สำคัญก็คือ การเติบโตของเศรษฐกิจจีนได้ทำให้ชาวจีนจำนวนมาก หลุดพ้นจากสภาพความเป็นอยู่ที่ยากจนแร้นแค้น และก้าวสู่การเป็นชนชั้นกลางที่มีรายได้ต่อปีเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ แม้ว่ารายได้เฉลี่ยต่อหัวของชาวจีนในปัจจุบันจะยังทำให้จีนเป็นประเทศที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูงซึ่งคล้ายกับไทย (ประเทศที่มีรายได้ประชากรต่อหัวเท่ากับ 121,001-374,000 บาทต่อปี)
แต่เมื่อดูจากแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจที่ยังคงแข็งแกร่งแล้ว ก็ต้องบอกว่า จีนมีโอกาสอย่างมากที่จะขยับตัวเอง ขึ้นไปเป็นประเทศที่มีรายได้สูง
ที่น่าสนใจก็คือ แม้ในปี 2020 ทั่วโลกและจีน
จะต้องเผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด 19
แต่ล่าสุดสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน
ก็ได้เผยแล้วว่า GDP ปี 2020 ที่ผ่านมา ยังคงเติบโตที่ 2.3% จากปีก่อนหน้า
ซึ่งสวนทางกับประเทศอื่นๆ ที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นลบ
โดยหนึ่งในสิ่งที่รัฐบาลจีนเชื่อว่า
จะทำให้เศรษฐกิจจีนสามารถเติบโตต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง คือ “นวัตกรรมและเทคโนโลยี”
โดยรัฐบาลจีนตั้งเป้าอย่างชัดเจน ว่าจะเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมของโลก (Global Leader in Innovation) ภายในปี 2050 ผ่านการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในภาคการผลิตและภาคบริการของประเทศ
คำถามคือ จะทำอย่างไรให้ได้มาซึ่งนวัตกรรมใหม่ๆ ?
คำตอบคือ ในปี 2019 รัฐบาลจีนทุ่มงบประมาณในส่วนวิจัยและพัฒนาของประเทศอย่างมหาศาล เพราะพวกเขาเชื่อว่า นวัตกรรมใหม่ๆ คือเครื่องยนต์สำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
โดยงบการวิจัยและพัฒนาของจีนในปี 2019 เท่ากับ 10.3 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าในรอบ 10 ปี
ทุกวันนี้ บริษัทจีนหลายแห่งเติบโตขึ้นจากการสร้างนวัตกรรม จนเป็นผู้นำในบริษัทด้านเทคโนโลยีระดับโลกหลายแห่ง ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาศักยภาพด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และการส่งเสริมระบบเศรษฐกิจดิจิทัลของจีนอย่างต่อเนื่อง
ยกตัวอย่างเช่น
Alibaba บริษัทที่ทำธุรกิจด้านอีคอมเมิร์ซและเทคโนโลยีรายใหญ่ของโลก
ปี 2020 รายได้ 15.2 ล้านล้านบาท กำไร 649,000 ล้านบาท
Tencent ผู้ให้บริการ Social Platform อันดับ 1 ของประเทศจีน รวมทั้งธุรกิจเกมออนไลน์ และธุรกิจอื่นๆ
ปี 2019 รายได้ 1.7 ล้านล้านบาท กำไร 445,000 ล้านบาท
Baidu เว็บไซต์สำหรับการค้นหาข้อมูล (search engine)
ปี 2019 รายได้ 496,000 ล้านบาท กำไร 9,500 ล้านบาท
นอกจากบริษัทใหญ่ๆ ที่ได้ยกตัวอย่างไปแล้ว
ประเทศจีน ยังมีจำนวนของบริษัท Startup มากกว่า 500 บริษัท
และมีมากกว่า 227 บริษัท ที่เป็น Startup ในระดับยูนิคอร์น หรือบริษัทที่มีมูลค่ามากกว่า 30,000 ล้านบาท
ซึ่งในอนาคตก็มีโอกาสสูงที่บริษัทเหล่านี้
จะกลายมาเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ
ให้เศรษฐกิจจีนเติบโตต่อไปได้อีกไกลในอนาคต
ปัจจุบัน บริษัท อีคอมเมิร์ซของจีนนั้นมีส่วนแบ่งการตลาดกว่า 40% ของโลก
ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่าการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล นวัตกรรมและเทคโนโลยีของจีน จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ขนาดของเศรษฐกิจจีนมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จนแซงหน้าสหรัฐอเมริกาในปี 2028
แม้ว่าปัจจุบัน ประชากรของจีนมีอายุเฉลี่ยเท่ากับ 38 ปี ซึ่งเรื่องนี้ทำให้จีนเป็นประเทศที่ประสบปัญหาสังคมผู้สูงวัยเหมือนหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย
แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจจีนอย่างต่อเนื่องจากปัจจุบัน
มีโอกาสสูงมากที่จะทำให้จีนกลายเป็นประเทศที่รวยก่อนแก่ได้เช่นกัน..
╔═══════════╗
เพียงเปิดบัญชี Zipmex ผ่าน Radars Point วันนี้
รับฟรี 68 Point จาก Radars Point
.
ง่ายๆ เพียง 3 ขั้นตอน
1. กดเปิดบัญชีผ่านทางลิงก์นี้ https://trade.zipmex.co.th/accounts/sign-up?aff=RADARS
2. ซื้อขายเงินดิจิทัลใน Zipmex ขั้นต่ำ 30 บาท
3. นำ User account ของ Zipmex พร้อมส่งรูปหน้าจอการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล (ขั้นต่ำ 30 บาท) ทาง Inbox เพจ Radars Point
.
#RadarsPoint #ลงทุนง่ายๆไม่ต้องใช้เงิน
╚═══════════╝
References
-https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_GDP_(nominal)
-https://data.worldbank.org/country/CN
-https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.PCAP.CD?locations=CN
-https://en.wikipedia.org/wiki/Poverty_in_China#:~:text=Between%201981%20and%202008%2C%20the,taken%20out%20of%20extreme%20poverty.
-https://www.worldometers.info/world-population/china-population/#:~:text=The%20median%20age%20in%20China%20is%2038.4%20years.
-https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC1127087/
-https://www.marketingtochina.com/china-the-world-leading-investment-country-for-startups/
-https://kmc.exim.go.th/detail/20190927190855/20200205152136
-https://en.wikipedia.org/wiki/Tencent
-https://en.wikipedia.org/wiki/Baidu
-https://en.wikipedia.org/wiki/Alibaba_Group
-https://www.japantimes.co.jp/news/2020/12/26/business/economy-business/china-us-biggest-economy-2028/
gdp ประเทศจีน 在 ลงทุนแมน - ประเทศจีน กำลังจะมีขนาดเศรษฐกิจ ที่ใหญ่สุดในโลก ... 的推薦與評價
ผลของการปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศในครั้งนั้น ทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ปี 1978 มูลค่า GDP ของจีน เท่ากับ 4.5 ล้านล้านบาท ปี 2019 มูลค่า GDP ... ... <看更多>
gdp ประเทศจีน 在 GDP จีนไตรมาส 2 โตร้อยละ 6.3 | ย่อโลกเศรษฐกิจ 17 ก.ค.66 的推薦與評價
GDP จีน ในไตรมาส 2 ขยายตัวร้อยละ 6.3 ต่ำกว่าที่คาดการณ์ ... #ส่งออก #นำเข้า #เศรษฐกิจ จีน #หุ้นไทย #หุ้นต่าง ประเทศ #เศรษฐกิจไทย #เศรษฐกิจโลก ... ... <看更多>